ชื่อเรื่อง                  รายงานการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน

                          โดยใช้ชุดการเรียนรู้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน  รายวิชางานไฟฟ้าเบื้องต้น 1                       รหัสวิชา ง 20271  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

ผู้ศึกษาค้นคว้า           นายดวงแดน  วงเดือน

ตำแหน่ง                  ครู   วิทยฐานะ ครูชำนาญการ

กลุ่มสาระการเรียนรู้    การงานอาชีพและเทคโนโลยี   โรงเรียนยางชุมน้อยพิทยาคม

ปีที่วิจัย                   ภาคเรียนที่ 1  ปีการศึกษา 2555

บทคัดย่อ

               ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ในรายวิชา

งานไฟฟ้าเบื้องต้น 1 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนยางชุมน้อยพิทยาคมต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ และเนื้อหาที่นักเรียนผลสัมฤทธิ์ต่ำเรื่องหนึ่งคือ     เรื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน  ซึ่งสาเหตุเกิดจาก 3 ด้านคือ ด้านครูผู้สอนที่จัดกิจกรรมโดยยังขาดเทคนิคการสอนที่หลากหลายให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมน้อย  ด้านผู้เรียนที่ยังขาดความกระตือรือร้นและแรงจูงใจในการเรียน  และด้านสื่อและนวัตกรรมการเรียนรู้ที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะหรือธรรมชาติของวิชา  ผู้วิจัยจึงได้ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน  รายวิชางานไฟฟ้าเบื้องต้น 1 รหัสวิชา ง 20271  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ และเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชางานไฟฟ้าเบื้องต้นให้สูงขึ้น

               การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน  วิชางานไฟฟ้าเบื้องต้น 1 รหัสวิชา ง 20271  สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1  ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80  2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน  วิชางานไฟฟ้าเบื้องต้น 1 รหัสวิชา ง 20271  สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1   และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่ผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน  วิชางานไฟฟ้าเบื้องต้น 1 รหัสวิชา ง 20271  สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1  กลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนยางชุมน้อยพิทยาคม อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ  ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 รวม 43 คน ซึ่งได้มาโดยเทคนิคการสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) ใช้หน่วยการสุ่ม  เป็นห้องเรียน  โดยเป็นห้องเรียนที่นักเรียนคละความสามารถ  เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มี    4  ชนิด  ประกอบด้วย 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน  10  แผน  2)  ชุดการเรียนรู้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน จำนวน 8  ชุด  3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน เป็นข้อสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4  ตัวเลือก 1 ฉบับ  จำนวน 40  ข้อ     ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.22–0.66 และค่าความยากง่าย (P) ตั้งแต่ 0.29–0.79  ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.75  และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า  (Rating Scale)  5 ระดับ มีข้อคำถามรวม 20  ข้อ  ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.29–0.64  ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.67  สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิจัยคือ  ร้อยละ  ค่าเฉลี่ย  ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน  และสถิติที่ใช้ตรวจสอบสมมติฐานใช้  t-test  (Dependent  Samples)

           ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า

                   1) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน  วิชางานไฟฟ้าเบื้องต้น 1

รหัสวิชา ง 20271  สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1  มีประสิทธิภาพ 95.25/85.00 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80  ที่ตั้งไว้

                   2) นักเรียนที่ผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน  วิชางานไฟฟ้าเบื้องต้น 1 รหัสวิชา ง 20271  สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1  มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

               3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่ผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน  วิชางานไฟฟ้าเบื้องต้น 1 รหัสวิชา ง 20271  สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1    มีค่าเฉลี่ยโดยรวม 4.45  ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .11 ระดับความพึงพอใจ  อยู่ในระดับมาก  

               สรุปได้ว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน  วิชางานไฟฟ้าเบื้องต้น 1 รหัสวิชา ง 20271  สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1  ที่ผู้วิจัยสร้างและพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ  สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนให้สูงขึ้น   และนักเรียนมีความพึงพอใจกระตือรือร้นในการเรียนรู้ซึ่งครูและผู้สนใจสามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้เป็นอย่างดี จึงควรเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานต่อไป